รอยสิวแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง ควรรักษารอยสิวด้วยวิธีใด

รอยสิวแต่ละประเภทและการรักษาที่ถูกต้อง

ยิ่งกว่าปัญหาสิวที่ทำให้หมดความมั่นใจ คือ ปัญหารอยสิวที่ทิ้งรอยแผลเป็นเอาไว้ แถมการดูแลรักษายังยากกว่าในตอนเป็นสิวเสียอีก ซึ่งสำหรับใครที่อยากจะมีใบหน้าที่เนียนใส แต่รอยสิวกลายเป็นตัวการใหญ่ที่ทำให้ไม่สามารถเผยผิวหน้าธรรมชาติได้ วันนี้ออนนี่จะพาทุกคนไปปลดล็อกทุกความหนักใจด้วยการพาไปรู้จักกับปัญหารอยสิวแต่ละประเภท พร้อมแนะนำวิธีการรักษารอยสิวแบบครบจบในที่เดียวกัน หากใครพร้อมบอกลารอยสิวแล้ว ตามออนนี่มาได้เลย!

รอยสิวคืออะไร เกิดจากอะไร?

ก่อนที่จะไปเฟ้นหาอาวุธที่จะช่วยปราบรอยสิวตัวร้ายให้หายไป ออนนี่อยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจถึงการเกิดรอยสิวแบบต่าง ๆ เพื่อจะได้วางแผนการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

โดยรอยสิว (Acne Scar) คือ รอยแผลประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นจากการเป็นสิวในแบบต่าง ๆ โดยเมื่อสิวหายไปแล้ว ร่างกายจะทำการฟื้นฟูสภาพผิวที่แตกต่างกันไป 

ในบางกรณี รอยสิวอาจมาในรูปแบบของรอยดำ รอยแดง หรือหากใครเป็นสิวแล้วมีการแคะ แกะ หรือบีบสิวจนชั้นผิวหนังเสียหาย ร่างกายก็ฟื้นฟูแผลเหล่านั้นให้กลายเป็นหลุมสิว และแผลคีลอยด์ หรือเป็นรอยแผลนูนตามบริเวณที่เกิดสิว ส่งผลให้ทำการรักษาได้ยากและอาจต้องใช้เวลานานกว่าที่ผิวของเราจะหายเป็นปกติ   

รอยสิวแต่ละประเภทมีอะไรบ้าง?

นอกจากการรู้ถึงสาเหตุของการเกิดรอยสิวแล้ว การรักษารอยสิวอย่างถูกวิธียังต้องอาศัยความเข้าใจของรอยสิวแต่ละประเภทด้วย ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว รอยสิวนั้นจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทตามความรุนแรงที่เกิดขึ้น ดังนี้

1. รอยสิวทั่วไป

ถึงจะดูเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไป แต่รอยสิวทั่วไปกลับไม่ธรรมดาอย่างที่คิด เพราะนอกจากจะทำให้หมดความมั่นใจได้แล้ว หากไม่ดูแลรักษาให้ดี รอยสิวประเภทนี้ก็อาจกลายเป็นรอยแผลเป็นได้เช่นกัน 

โดยรอยสิวทั่วไปนี้ จะเป็นรอยสิวที่ทิ้งรอยดำ รอยแดง รวมถึงหลุมสิวตื้น ๆ เอาไว้หลังจากที่สิวตัวร้ายหายไป ซึ่งรอยต่าง ๆ นี้เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาจำนวนมาก ทำให้บริเวณที่เป็นสิวมีสีคล้ำขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

อย่างไรก็ดี รอยสิวดำ แดง ตลอดจนหลุมสิวตื้น ๆ เหล่านี้ จะสามารถจางลงไปได้ในระยะเวลา 1 สัปดาห์ หรือนาน 2 – 4 เดือน ซึ่งหากรอยสิวดูผิดปกติ หรือมีรอยแผลที่ชัดขึ้น ออนนี่ขอแนะนำให้ลองไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจดูความผิดปกติ เพราะไม่แน่ว่ารอยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น อาจจะกลายเป็นแผลเป็น และต้องใช้วิธีรักษา หรือ ครีมดูแลผิวชนิดพิเศษก็เป็นได้

2. รอยสิวหลุมลึก

สำหรับใครที่มีพฤติกรรมชอบแคะ แกะ หรือบีบสิวเป็นประจำ อาจส่งผลให้เกิดเป็นรอยสิว หรือเป็นหลุมลึกได้เช่นกัน 

โดยรอยสิวหลุมลึกเกิดขึ้นจากการที่ผิวหนังได้รับความเสียหายลึกลงไปในชั้นผิว ซึ่งอาจเกิดจากตัวสิวเอง หรือเกิดขึ้นจากการรักษาสิวที่ไม่ถูกวิธี โดยความรุนแรงของหลุมสิวนั้นจะแบ่งออกเป็น 3 ระดับ คือ

  • หลุมสิวหัวแหลม (Ice Pick Scars) หรือ หลุมสิวแคบ จะมีลักษณะเป็นก้นหลุมแหลมคล้ายไม้จิ้มฟัน ลึกไม่เกิน 0.5 มิลลิเมตร
  • หลุมสิวหัวแอ่ง (Rolling Scars) เป็นหลุมสิวก้นหลุม มีลักษณะคล้ายรูปคลื่นหรือแอ่ง แต่จะมีปากหลุมสิวที่กว้างเห็นได้ชัด มีขนาดที่ลึกประมาณ 1 – 4 มิลลิเมตร ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากสิวที่มีการอักเสบขนาดใหญ่
  • หลุมสิวหัวกล่อง (Boxcar Scars) เป็นหลุมสิวก้นหลุมทรงกล่อง ลึกมากที่สุดถึง 3 – 4 มิลลิเมตร ซึ่งลักษณะหลุมสิวเช่นนี้ อาจมีความคล้ายกับแผลอิสุกอิใส และเกิดขึ้นได้กับเคสที่เป็นสิวอักเสบแบบกระจายวงกว้าง

3. รอยสิวนูน

ในบรรดารอยสิวแต่ละประเภท รอยสิวนูนถือว่าเป็นรอยสิวที่รักษาได้ยากและใช้เวลาในการรักษานานที่สุด 

โดยรอยสิวนูน หรือที่หลายคนเรียกว่ารอยสิวคีลอยด์นั้น คือ รอยสิวที่เกิดขึ้นจากความผิดปกติในกระบวนการรักษาแผล โดยร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อและผลิตคอลลาเจนในปริมาณที่มากเกินไป ทำให้แผลฟื้นฟูได้อย่างไม่สมดุลและเกิดเป็นรอยนูนในที่สุด

เลเซอร์รอยสิวประสิทธิภาพสูง

วิธีการรักษารอยสิว

“ควรดูแลรักษารอยสิวอย่างไร?” เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนสงสัย เพราะในบางครั้ง รอยสิวบางประเภทอาจใช้เวลาในการรักษานาน หรือในบางกรณีก็อาจกลายเป็นแผลเป็นที่รักษาให้หายขาดไม่ได้ ซึ่งสำหรับใครที่กำลังเป็นกังวลเรื่องการรักษาและดูแลรอยสิวอยู่ วันนี้ออนนี่มีเคล็ดลับการดูแลรักษารอยสิวง่าย ๆ แต่เห็นผลมาฝากกัน ซึ่งทุกคนสามารถทำตามได้ตาม 4 ขั้นตอนนี้

ทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นประจำ

การฟื้นฟูผิวอย่างมีประสิทธิภาพเริ่มต้นได้ง่าย ๆ จากการทานอาหารที่มีประโยชน์ เช่น ทานโปรตีนที่อุดมไปด้วยกรดอะมิโนที่ช่วยซ่อมแซมเซลล์ผิว ตลอดจนเลือกทานผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและสารแอนติออกซิแดนซ์เพื่อฟื้นบำรุงและซ่อมแซมผิว

มองหาผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว

นอกจากจะเลือกผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากแอลกอฮอล์และน้ำหอมแล้ว ออนนี่ยังขอแนะนำให้ทุกคนลองเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ AHA วิตามินซี กรดผลไม้ อาร์บูติน เซราไมด์ รวมถึงวิตามินเอด้วย เพราะสารต่าง ๆ เหล่านี้สามารถช่วยผลัดเซลล์ผิว และช่วยลดการเกิดรอยสิวได้

เสริมด้วยผลิตภัณฑ์ลดเลือนรอยแผลเป็น

ผลิตภัณฑ์สำหรับรักษารอยแผลเป็น คือ อีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยทำให้รอยสิวต่าง ๆ จางลงได้ แต่อย่าลืมเช็กส่วนผสมต่าง ๆ ให้ดี เพราะรอยสิวแต่ละประเภทมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป อีกทั้งครีมรักษารอยแผลเป็นอาจไม่เหมาะกับผิวหนังบางจุด 

รักษาด้วยเลเซอร์รอยสิว

เลเซอร์ลบรอยสิวถือเป็นอีกหนึ่งวิธีการรักษาที่ช่วยแก้ปัญหารอยสิวได้ทุกประเภท โดยตัวเลเซอร์จะเข้าไปจับกับเม็ดสีของรอยสิว พร้อมกับช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ตลอดจนช่วยรักษากระบวนการฟื้นฟูผิวที่ผิดปกติได้ ซึ่งหากเป็นเครื่องเลเซอร์รอยสิวอย่าง Dual Yellow ที่ควบคุมดูแลการรักษาโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยแล้ว ตัวเลเซอร์ก็จะไปทำการจับกับเม็ดสีทั้งแดง น้ำตาล และดำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทำให้รอยสิวหายได้อย่างรวดเร็วมากกว่าวิธีการอื่น ๆ 

จบลงไปแล้วกับทุกเรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับรอยสิวแต่ละประเภท พร้อมวิธีการดูแลและรักษารอยสิวที่มีประสิทธิภาพ หากใครยังไม่รู้ว่ารอยสิวของตัวเองควรเริ่มดูแลรักษาด้วยวิธีใด หรือกำลังมองหาตัวช่วยดี ๆ ที่สามารถช่วยรักษารอยสิวได้อย่างอยู่หมัด ออนนี่และกังนัมคลินิกมาพร้อมกับเครื่องมือรักษารอยสิวทุกประเภท และเลเซอร์รอยสิว Dual Yellow ที่มีประสิทธิภาพสูงไว้ให้บริการ มั่นใจได้ถึงคุณภาพกับงบประมาณที่ลงตัว พร้อมมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตัวจริงคอยดูแลเองทุกเคส! หากสนใจ สามารถถ่ายรูปรอยสิวเพื่อให้แพทย์ประเมินและวางแผนรักษาได้ที่ Line: @gangnamclinic (มี @ ด้วยนะคะ) 

  หรือจะติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม และนัดหมายเพื่อเข้าใช้บริการได้เลยที่ โทรศัพท์ 090-665-3616, 098-269-7450