เทียบชัด! 3 วิธีฉีดหน้าใส แดดเมืองไทยแรงเท่าไหร่ก็หน้าใสไม่มีเปลี่ยน

ฉีดหน้าใสวิธีไหนดี

ไม่ว่าจะฤดูไหน แดดเมืองไทยก็ไม่เคยปราณีผิวใคร ดังนั้น นอกจากจะป้องกันและบำรุงผิวด้วยสกินแคร์ที่เหมาะสมกับผิวอยู่เป็นประจำแล้ว การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ทุกคนควรให้ความสนใจ แต่ถ้าใครอยากได้ผลลัพธ์การดูแลผิวหน้าอย่างรวดเร็ว ออนนี่บอกเลยว่าการฉีดหน้าใสโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยยอดฮิต ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ เพื่อบำรุงผิวหน้าให้กระจ่างใส แถมยังมีความปลอดภัยและเป็นธรรมชาติ ที่สำคัญเห็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ครั้งแรก ๆ ที่ทำอีกด้วย 

และเมื่อพูดถึงการฉีดหน้าใสยอดฮิตติดชาร์ต ที่ขึ้นชื่อว่ากล้าท้าแดดเมืองไทยได้นั้น มั่นใจเลยว่าต้องมีการฉีดมาเด้คอลลาเจน Vitamin Drip และการทำเมโสหน้าใสจะต้องติดอยู่ในลิสต์อย่างแน่นอน แล้วทีนี้หนุ่ม ๆ สาว ๆ หรือเพศไหน ๆ ควรจะตัดสินใจเลือกฉีดหน้าใสด้วยวิธีไหนถึงจะเหมาะสมกับผิวหน้าของตัวเอง ถ้าพร้อมแล้วมูฟออนจากตรงนี้แล้วตามออนนี่มาดูกันเลย!

ฉีดเมเด้คอลลาเจนคืออะไร?

การฉีดมาเด้คอลลาเจน หรือ MADE Collagen คือ การฉีดสารอาหารผิวเข้าสู่ผิวหน้า 16 จุดโดยใช้เข็มฉีดสารเข้าไป ซึ่งการกระตุ้นทั้ง 16 จุดในเวลาไล่เลี่ยกันนี้จะช่วยกระตุ้นการทำงานของต่อมน้ำเหลืองไปพร้อมกับการรับสารอาหารผิว 

มาเด้คอลลาเจนเป็นการฉีดคอลลาเจนอย่างเดียวหรือเปล่า?

คำตอบคือทั้งใช่และไม่ใช่ เพราะ ในความเป็นจริงแล้ว สารที่ใช้ฉีดมาเด้คอลลาเจนนั้นจะเป็นสารสกัดที่ได้จากธรรมชาติ อุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามินรวม อีกทั้งยังมีเซลล์บำบัด เอนไซน์ รวมถึงพลาเซนต้าเพื่อฟื้นบำรุงสุขภาพผิวให้แข็งแรงตั้งแต่ระดับเซลล์ นอกจากนี้ สารอาหารผิวดังกล่าวยังมีส่วนผสมของคอลลาเจนเข้มข้นอีกด้วย และหากฉีดมาเด้คอลลาเจนเข้าไปในชั้นผิวหนังแล้ว ร่างกายก็จะกระตุ้นการทำงานของวิตามินบนผิวหนังและเสริมสร้างการทำงานคอลลาเจน ทำให้ผิวหน้ากลับมาดูขาวกระจ่างใสขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ

มาเด้คอลลาเจนเหมาะสำหรับใครบ้าง

การฉีดหน้าใสแบบมาเด้คอลลาเจนนั้นเหมาะสำหรับทุกคนที่ต้องการฟื้นบำรุงผิวหน้าของตัวเองในระยะเวลาที่ไม่นานมาก อีกทั้งยังเหมาะสำหรับคนที่มีผิวไม่แข็งแรง ผิวแห้ง ผิวแพ้ง่าย และผู้มีปัญหาสิวเรื้อรัง ที่สำคัญ การฉีดมาเด้คอลลาเจนยังช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกายให้เป็นปกติ  และต่อให้อายุมากขึ้นก็ยังสามารถรักษาโดยการใช้มาเด้คอลลาเจนได้

ข้อดี – ข้อควรระวังกับการทำมาเด้คอลลาเจน

  1. การฉีดมาเด้คอลลาเจนให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็ว เพียง 3 วันหลังฉีดก็เริ่มเห็นได้ว่าผิวดูขาวกระจ่างใสขึ้นจริง แต่ผลลัพธ์นี้ก็อยู่ได้เพียง 1 – 3 เดือนเท่านั้น ซึ่งหากใครอยากให้ผิวดูกระจ่างใสอยู่เสมอก็ควรฉีดทุก ๆ 2 สัปดาห์
  2. ช่วยลดปัญหาผิวและสิวได้จริง แต่การทำมาเด้คอลลาเจนแต่ละครั้ง จะมีราคาที่ค่อนข้างสูง
  3. สารที่ใช้ฉีดมาเด้คอลลาเจนนั้นสกัดจากธรรมชาติ โอกาสที่จะแพ้จึงน้อยมาก แต่หากไม่เลือกคลินิกรักษาให้ดี อาจเสี่ยงเจอมาเด้คอลลาเจนปลอม ซึ่งเป็นอันตรายต่อทั้งผิว สุขภาพ และชีวิต

IV Drip หรือ Vitamin Drip จะเหมาะกับเราไหม?

หากใครยังรู้สึกว่าการฉีดมาเด้ยังอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการ IV Drip หรือ Vitamin Drip ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีฉีดหน้าใสที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน โดยการทำ IV Drip หรือ Vitamin Drip นั้นจะเป็นการนำสารอาหารและวิตามินต่าง ๆ มาเจาะเข้าหลอดเลือดดำโดยใช้สายน้ำเกลือ 

การทำ Vitamin Drip ให้ผลลัพธ์ดีกว่ากินอาหารเสริมไหม?

การทำ IV Drip หรือ Vitamin Drip นั้น จะทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารและวิตามินเกือบ 100% ซึ่งแตกต่างจากการกินอาหารเสริม ที่ร่างกายจะได้รับประโยชน์จากวิตามินและแร่ธาตุเพียง 30% – 50% เท่านั้น ซึ่งการฉีดวิตามินเข้าสู่ร่างกายโดยตรงนี้ นอกจากจะทำให้เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วแล้ว วิธีการนี้ยังสามารถช่วยบำรุงทั้งผิวพรรณทั่วร่างกาย เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน พร้อมช่วยให้ร่างกายได้ใช้คุณประโยชน์จากวิตามินทุกตัวแบบเต็ม ๆ จึงช่วยเสริมร่างกายให้แข็งแรงได้อีกด้วย

IV Drip หรือ Vitamin Drip เหมาะกับใคร?

หากไม่มีประวัติแพ้ยา อาหารเสริม หรือวิตามินตัวไหนเป็นพิเศษ และมีอายุ 18 ปีขึ้นไป การทำ IV Drip หรือ Vitamin Drip ก็ถือเป็นอีกหนึ่งวิธีฉีดหน้าใสที่ปลอดภัย และใช้กันอย่างแพร่หลายตามคลินิกและโรงพยาบาลหลายแห่ง และช่วยดูแลสุขภาพองค์รวมได้อย่างครอบคลุมมากที่สุด

ข้อดี – ข้อควรระวังเกี่ยวกับ IV Drip หรือ Vitamin Drip

  1. ถึงจะเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วและดีต่อสุขภาพมากแค่ไหน หากร่างกายได้รับวิตามินและสารอาหารมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียและมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ เวียนหัว หรือหายใจไม่ออก ดังนั้น เพื่อความปลอดภัย อย่าลืมพิจารณาเลือกคลินิกที่ควบคุมโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ 
  2. วิตามินที่ใช้ใน IV Drip ส่วนมากจะไม่ตกค้างในร่างกาย แต่อย่าลืมปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญก่อนทุกครั้งเพื่อป้องกันอาการแพ้และอาการไม่พึงประสงค์ที่อาจเกิดขึ้นได้
  3. IV Drip เป็นการฉีดหน้าใสที่เห็นผลลัพธ์ได้ไม่นาน มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง และจำเป็นต้องมีการฉีดซ้ำทุก ๆ 1 – 2 สัปดาห์ตามการวางแผนของแพทย์ 

เมโสหน้าใสช่วยทำให้ผิวดีขึ้นจริงไหม?

การทำเมโสหน้าใสถือเป็นอีกหนึ่งวิธีฉีดหน้าใสที่หลายคนเคยได้ยินชื่อเสียงมานาน ซึ่งหากใครยังไม่รู้จักการทำเมโสล่ะก็ เดี๋ยวออนนี่จะพาไปรู้จักเอง โดยการทำเมโสหน้าใส (Mesotheraphy) คือ การฉีดแร่ธาตุ สารอาหาร และวิตามินที่สกัดได้จากธรรมชาติเข้าสู่ผิวโดยตรง ซึ่งการทำเช่นนี้จะช่วยทำให้ผิวได้รับสารอาหารที่จำเป็นอย่างครบถ้วน และทำให้ผิวดูสุขภาพดี ชุ่มชื้น และขาวกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ

ฉีดมาเด้ต่างจากทำเมโสหน้าใสไหม

เมโสหน้าใสต่างจากการฉีดมาเด้คอลลาเจนอย่างไร?

จะเรียกว่าแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คงไม่ใช่ เพราะจริง ๆ แล้ว การทำมาเด้คอลลาเจนจะเป็นหนึ่งในวิธีรักษาแบบเมโสหน้าใส แต่จะมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในเรื่องของราคาและตำแหน่งของการฉีดสารเข้าสู่ผิว ซึ่งหากเป็นมาเด้คอลลาเจนก็จะเป็นการฉีดสารเข้าสู่ผิวหน้าจำนวน 16 จุด และใช้เทคนิคและความระมัดระวังในการทำมากกว่า ราคาค่าบริการจึงสูงกว่า แต่การทำเมโสหน้าใสจะเป็นการสะกิดผิวและนำวิตามินเข้าสู่ร่างกายตามแผลที่สะกิดแทน

เมโสหน้าใสเหมาะกับใครบ้าง?

เมโสหน้าใสสามารถช่วยดูแลรักษาปัญหาผิวได้แทบทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผิวแห้ง สีผิวไม่เท่ากัน ปัญหาผิวคล้ำ และปัญหาสิวต่าง ๆ

ข้อดี – ข้อควรระวังการทำเมโสหน้าใส

เช่นเดียวกับการฉีดมาเด้คอลลาเจน สารที่ใช้ฉีดเมโสหน้าใสก็มีของปลอมอยู่เต็มท้องตลาดเช่นกัน ดังนั้น ก่อนรักษาทุกครั้ง อย่าลืมตรวจสอบความน่าเชื่อถือของคลินิก รวมถึงสารที่แต่ละคลินิกเลือกใช้ด้วย มิเช่นนั้นอาจเสี่ยงทำให้ผิวหน้าเสียหาย และหากพบเจอของปลอมที่ผสมสเตียรอยด์ก็อาจทำให้ชั้นผิวบาง หรือร้ายแรงที่สุดก็อาจเสี่ยงกับการเป็นโรคมะเร็งได้ 

จะเห็นได้ว่าการฉีดหน้าใสแต่ละแบบนั้นให้ผลลัพธ์และประสิทธิภาพที่ไม่น้อยไปกว่ากันเลย ซึ่งหากใครอยากมีผิวหน้าใสสู้แดดเมืองไทยได้ดี ออนนี่อยากขอแนะนำให้พิจารณาเลือกใช้บริการคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะจะทำให้ทุกคนได้ผิวที่กระจ่างใสอย่างปลอดภัยต่อทั้งผิว สุขภาพ และชีวิต ซึ่งหากใครสนใจฉีดผิวหน้าใส ฉีดมาเด้คอลลาเจน หรือรักษาด้วยวิธีไหนก็สามารถติดต่อสอบถามกับแพทย์ของกังนัมคลินิกโดยตรงได้ที่ Line Official: @gangnamclinic โดยคุณหมอจะเป็นคนพูดคุยและตอบคำถามของทุกคนด้วยตัวเองในทุกเคสเลยค่ะ

Leave a Reply