ลดน้ำหนักด้วย IF วิธีกู้หุ่นของคนไม่ชอบออกกำลังกาย!

ทำความรู้จักวิธีลดน้ำหนักแบบ IF

การมีรูปร่างที่ผอมเพรียว ไม่มีปัญหาพุงยื่น แขนใหญ่ ไร้ไขมันส่วนเกิน เป็นความต้องการของใครหลายคน ยิ่งผอมไร้พุงได้โดยไม่ต้องเสียเหงื่อเสียเวลาออกกำลังกายอย่างหนักได้ก็ยิ่งดี และหนึ่งในวิธีลดน้ำหนักโดยไม่ต้องออกกำลังกายให้เหนื่อยที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ก็คือวิธีลดน้ำหนักแบบ IF นั่นเองค่ะ

แม้ว่าการลดหุ่นด้วยวิธีทำ IF จะไม่ยุ่งยากเท่ากับการลดน้ำหนักด้วยวิธีอื่น ๆ แต่ก่อนจะตัดสินใจใช้วิธีนี้ ก็ควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและทำอย่างถูกวิธี เพื่อความปลอดภัยของร่างกายและเพื่อให้ได้มาซึ่งผลลัพธ์ที่ต้องการ วันนี้ออนนี่จึงมีวิธีทํา IF ที่มือใหม่ควรรู้มาบอกกันค่ะ ใครที่กำลังสนใจลดน้ำหนักด้วยวิธีนี้อยู่ ไปดูพร้อม ๆ กันได้เลย

ตอบชัด! การลดน้ำหนักแบบ IF คืออะไร?

IF ย่อมาจาก Intermittent Fasting เป็นวิธีลดน้ำหนักที่ไม่จำเป็นต้องฝืนใจคุมอาหาร หรือต้องเลือกกินเฉพาะผัก ลดแป้ง น้ำตาล และไขมัน หรือต้องออกกำลังกายอย่างหนัก แต่จะมุ่งเน้นไปที่การจำกัดเวลาในการกินอาหารแทน โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงเวลาค่ะ ได้แก่ช่วงเวลา Feeding ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่สามารถกินอาหารได้ตามปกติ และช่วงเวลา Fasting เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายต้องหยุดรับอาหาร และดื่มได้เฉพาะน้ำเปล่าเท่านั้น โดยในเวลา Feeding คนที่ทำ IF สามารถกินอาหารได้ตามปกติ ไม่ว่าจะเป็นของทอด ของหวาน ของมัน อาหารอื่น ๆ หรือจะเลือกควบคุมอาหารด้วยตัวเองก็สามารถทำได้ตามความพอใจเลยค่ะ แต่จะให้ดี ควรเลือกกินอาหารที่ให้พลังงานสูงและมีสารอาหารที่ครบถ้วนก็จะปลอดภัยต่อร่างกาย และสามารถใช้ชีวิตตลอดทั้งวันได้แบบมีผลกระทบน้อยที่สุด

เหตุผลที่การทำ IF สามารถช่วยลดน้ำหนักและมีรูปร่างที่ผอมเพรียวลงได้ ก็เป็นเพราะว่าในช่วงที่เราอดอาหาร ระดับอินซูลินในร่างกายจะลดลง ร่างกายจะหลั่ง Growth Hormone ออกมามากขึ้น ทำให้ร่างกายไปดึงไขมันที่สะสมไว้ออกมาใช้ นำไปสู่อัตราการเผาผลาญที่เพิ่มมากขึ้นนั่นเองค่ะ

รู้จักสูตรทำ IF ทั้ง 6 แบบและข้อดีของแต่ละแบบ

อย่างที่บอกไปว่าวิธีลดน้ำหนักด้วยการทำ IF นั้น ให้ความสำคัญกับการจำกัดเวลาในการกินอาหาร แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหยุดกินตอนไหนก็ได้ตามใจนะคะ เพราะหากเป็นมือใหม่แล้วเผลอทำผิดวิธี แทนที่จะผอมลง อาจส่งผลให้น้ำหนักพุ่งทะยานแทนก็ได้ ดังนั้น เรามารู้จักกับการทำ IF ทั้ง 6 ประเภทและข้อดีของแต่ละแบบกันดีกว่าค่ะ

วิธีทำ IF ทั้ง 6 แบบ แต่ละแบบมีข้อดีอย่างไร

แบบ Lean Gains

เป็นรูปแบบของการทำ IF ที่ฮิตที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยการทำ IF แบบ Lean Gains มีหลักการง่าย ๆ คือกินอาหาร 8 ชั่วโมง และอดอาหาร 16 ชั่วโมง บางคนจึงเรียกว่า IF 16/8 เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายที่สุด เหมาะกับมือใหม่สาย IF และสามารถทำต่อเนื่องได้เลย

แบบ Fast 5

หลักการของ IF รูปแบบนี้จะเป็นการกินอาหาร 5 ชั่วโมง อดอาหาร 19 ชั่วโมง เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า IF 19/5 ไม่ได้รับความนิยมเท่าแบบอื่น ๆ เพราะต้องอดอาหารยาวนาน และเวลากินอาหารในบางรอบอาจจะเป็นช่วงกลางดึก ซึ่งบางคนอาจไม่สะดวกกับวิธีนี้

แบบ 5:2

เป็นอีกหนึ่งรูปแบบที่ได้รับความนิยม เพราะสามารถวางแผนการกินอาหารได้ง่ายมาก ๆ เนื่องจาก IF แบบ 5:2 เป็นการกินอาหารปกติ 5 วัน/สัปดาห์ ส่วนอีก 2 วันที่เหลือ จะต้องลดปริมาณแคลอรี่ให้เหลือแค่ ¼ ของแคลอรี่ปกติ โดยผู้ชายสามารถกินได้ 600 กิโลแคลอรี่ ส่วนผู้หญิงสามารถกินได้ 500 กิโลแคลอรี่

แบบ Eat Stop Eat

วิธีนี้เป็นการกินแล้วหยุดสมชื่อเลยล่ะค่ะ โดยจะต้องอดอาหารให้ได้ครบ 24 ชั่วโมง 1 – 2 วัน/สัปดาห์ ส่วนวันอื่น ๆ ก็สามารถกินอาหารได้ตามปกติเลย แต่ไม่แนะนำสำหรับมือใหม่ เพราะจะเป็นการหักดิบเกินไป อาจทำให้วันถัดไปกินอาหารเยอะกว่าปกติและส่งผลให้น้ำหนักขึ้นได้

แบบ Alternate Day Fasting (ADF)

วิธีนี้ก็ไม่เหมาะกับคนทำ IF มือใหม่ เนื่องจากการทำ IF แบบ ADF จะเป็นการกินอาหาร 1 วันและอดอาหาร 1 วันสลับกันไป จึงเหมาะกับคนที่ทำ IF มาจนเคยชินแล้ว โดยในวันที่ต้องอดอาหาร สามารถกินอาหารแคลอรี่ต่ำในปริมาณน้อยได้ เพื่อให้ร่างกายไม่อ่อนเพลียจนเกินไป

แบบ The Warrior Diet

ปิดท้ายด้วยวิธี IF แบบ The Warrior Diet เป็นการอดอาหารช่วงกลางวันแล้วกินหนักในมื้อค่ำเพียงมื้อเดียว หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า IF 20/4 ที่จะอดอาหาร 20 ชั่วโมงและกินได้ 4 ชั่วโมง ซึ่งในระยะเวลา 20 ชั่วโมงที่อดอาหาร สามารถกินได้แค่อาหารแคลอรี่ต่ำปริมาณน้อยและน้ำเปล่าเท่านั้น จึงเป็นวิธีที่ไม่เหมาะกับมือใหม่เช่นกันค่ะ

และสำหรับใครที่อยากผอมเร่งด่วน นอกจากจะทำ IF แล้ว สามารถมาฉีดเมโสแฟตเพื่อสลายไขมันได้ที่กังนัมคลินิก ไม่ว่าจะพุงยื่น เหนียงย้อย แขนขาใหญ่ ก็สามารถลดไขมันได้จริงโดยไม่ต้องผ่าตัด รักษาโดยแพทย์เฉพาะทาง สนใจสามารถปรึกษาออนนี่ได้ที่ LINE Official: @gangnamclinic (มี @ ด้วยนะคะ), Inbox Message, โทร. 090-665-3616, 098-269-7450 และ Email: gangnamclinicthailand@gmail.com หรือแวะเข้ามาพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ที่กังนัมคลินิกทุกสาขาได้เลย พวกเรายินดีให้บริการและมีโปรโมชันดี ๆ รออยู่แน่นอนค่ะ